ถ้ำผาจรุย อำเภอป่าแดด เป็นเมืองเกษตรกรรม
มีความเป็นธรรมชาติและมีวิถีวัฒนธรรมแบบสังคมเกษตร ผู้คนมีจิตใจโอบอ้อมอารี
แม้อำเภอป่าแดดจะมีสถานที่ท่องเที่ยวไม่มากนัก แต่ทว่า
สถานที่ท่องเที่ยวที่มีอยู่น้อยแห่งนั้นก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้สนใจเดินทางมาเที่ยวที่อำเภอนี้ได้ไม่ยากนัก
เช่นเดียวกันกับที่ถ้ำผาจรุย
แหล่งท่องเที่ยวของอำเภอป่าแดดที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของอำเภอป่าแดดที่
อยากแนะนำและเชิญชวนให้ท่านได้แวะเวียนเข้ามาเที่ยวชมความงดงามของถ้ำและนมัสการกราบไหว้พระพุทธรูปอันศักดิ์
ณ ถ้ำแห่งนี้
ถ้ำผาจรุยนั้นเป็นถ้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์สวยงาม
ทั้งยังมีพระพุทธรูปประดิษฐานในบริเวณถ้ำ
เนื้อที่บริเวณวัดถ้ำผาจรุยนั้นมีพื้นที่ประมาณ 60 ไร่
ลักษณะของถ้ำผาจรุยนั้นมีลักษณะเป็นภูเขาตั้งโดดเด่นแยกตัวออกมาจากภูเขาลูกอื่น
ซึ่งภายในประกอบด้วยภูเขาเล็กๆ สลับซับซ้อนอย่างลงตัวและสวยงาม
นอกจากนั้นยังมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยกระจัดกระจายอยู่โดยทั่วไป
นอกจากที่ถ้ำผาจรุยยังมีถ้ำขนาดใหญ่ ที่มีความลึกประมาณ 118 เมตร
ส่วนด้านรอบๆถ้ำจะมีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ขึ้นอยู่โดยรอบๆถ้ำ
ส่วนด้านล่างของถ้ำจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางค์สมาธิ ซึ่งเป็นที่เคารพของคนทั่วไป
ทั้งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังที่แห่งนี้ก็มักจะมา นมัสการพระพุทธรูป
และมานั่งวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งวัดแห่งนี้อยู่ในนิกายธรรมยุต
ด้านบรรยากาศโดยทั่วไปของถ้ำผาจรุยนั้นเป็นถ้ำที่มีความสวยงามยิ่งนัก
บริเวณภายนอกถ้ำเป็นสถานที่ที่มีความสะอาด สงบ
ร่มรื่นไปด้วยมวลไม้ดอกไม้ประดับและต้นไม้ ในทุกๆ วัน
มักจะมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในระแวกใกล้เคียงรวมไปถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
เดินทางเข้ามาเที่ยวยังวัดถ้ำผาจรุยกันอย่างไม่ขาดสาย
โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวที่ถ้ำผาจรุยกันอย่างคับคั่ง
นักท่องเที่ยวท่านใดอยากเข้ามาเที่ยวอำเภอป่าแดด
ไม่รู้ว่ามีสถานที่น่าสนใจแห่งใดบ้าง ขอแนะนำถ้ำผาจรุย ที่อ.ป่าแดดแห่งนี้
แล้วท่านจะติดใจกับความงดงามทางธรรมชาติของถ้ำแห่งนี้เป็นแน่
1. ขึ้นรถโดยสาร สาย เชียงราย-ป่าแดด-จุน ใช้เวลาประมาณ
1.45 ชม. สามารถลงรถตรงหน้าวัดพอดี
2. ขึ้นรถโดยสาร สายเชียงราย-เทิง ให้ลงตรง 3 แยกเชียงเคี่ยน แล้วต่อรถโดยสาร จาก 3 แยกเชียงเคียน
- ป่าแดด เลี้ยวขวาไปตามถนนหมายเลข 1126 ประมาณ 3 กม. วัดถ้ำผาจรุยจะอยู่ติดกับถนนซุปเปอร์ไฮเวย์
พระธาตุจอมคีรี
พระธาตุจอมคีรี ตั้งอยู่บนยอดเขาเตี้ย ๆ ไม่มีพระสงฆ์อาศัยอยู่
มีแต่พระธาตุหรือเจดีย์องค์เดียวเท่านั้น องค์พระธาตุตั้งอยู่ในเขตตำบลป่าแดด
โดยมีทางแยกจากถนนสายใหญ่เข้าไปประมาณ 3 กิโลเศษ
และมีทางรถยนต์วิ่งเลียบไปข้าง ๆ โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม ตำบลป่าแดด อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย
ถ้ำผาจรุย อำเภอป่าแดด เป็นเมืองเกษตรกรรม
มีความเป็นธรรมชาติและมีวิถีวัฒนธรรมแบบสังคมเกษตร ผู้คนมีจิตใจโอบอ้อมอารี
แม้อำเภอป่าแดดจะมีสถานที่ท่องเที่ยวไม่มากนัก แต่ทว่า
สถานที่ท่องเที่ยวที่มีอยู่น้อยแห่งนั้นก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้สนใจเดินทางมาเที่ยวที่อำเภอนี้ได้ไม่ยากนัก
เช่นเดียวกันกับที่ถ้ำผาจรุย
แหล่งท่องเที่ยวของอำเภอป่าแดดที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของอำเภอป่าแดดที่
อยากแนะนำและเชิญชวนให้ท่านได้แวะเวียนเข้ามาเที่ยวชมความงดงามของถ้ำและนมัสการกราบไหว้พระพุทธรูปอันศักดิ์
ณ ถ้ำแห่งนี้
ถ้ำผาจรุยนั้นเป็นถ้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์สวยงาม
ทั้งยังมีพระพุทธรูปประดิษฐานในบริเวณถ้ำ
เนื้อที่บริเวณวัดถ้ำผาจรุยนั้นมีพื้นที่ประมาณ 60 ไร่
ลักษณะของถ้ำผาจรุยนั้นมีลักษณะเป็นภูเขาตั้งโดดเด่นแยกตัวออกมาจากภูเขาลูกอื่น
ซึ่งภายในประกอบด้วยภูเขาเล็กๆ สลับซับซ้อนอย่างลงตัวและสวยงาม
นอกจากนั้นยังมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยกระจัดกระจายอยู่โดยทั่วไป
นอกจากที่ถ้ำผาจรุยยังมีถ้ำขนาดใหญ่ ที่มีความลึกประมาณ 118 เมตร
ส่วนด้านรอบๆถ้ำจะมีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ขึ้นอยู่โดยรอบๆถ้ำ
ส่วนด้านล่างของถ้ำจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางค์สมาธิ ซึ่งเป็นที่เคารพของคนทั่วไป
ทั้งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังที่แห่งนี้ก็มักจะมา นมัสการพระพุทธรูป
และมานั่งวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งวัดแห่งนี้อยู่ในนิกายธรรมยุต
ด้านบรรยากาศโดยทั่วไปของถ้ำผาจรุยนั้นเป็นถ้ำที่มีความสวยงามยิ่งนัก
บริเวณภายนอกถ้ำเป็นสถานที่ที่มีความสะอาด สงบ
ร่มรื่นไปด้วยมวลไม้ดอกไม้ประดับและต้นไม้ ในทุกๆ วัน
มักจะมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในระแวกใกล้เคียงรวมไปถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
เดินทางเข้ามาเที่ยวยังวัดถ้ำผาจรุยกันอย่างไม่ขาดสาย
โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวที่ถ้ำผาจรุยกันอย่างคับคั่ง
นักท่องเที่ยวท่านใดอยากเข้ามาเที่ยวอำเภอป่าแดด
ไม่รู้ว่ามีสถานที่น่าสนใจแห่งใดบ้าง ขอแนะนำถ้ำผาจรุย ที่อ.ป่าแดดแห่งนี้
แล้วท่านจะติดใจกับความงดงามทางธรรมชาติของถ้ำแห่งนี้เป็นแน่
1. ขึ้นรถโดยสาร สาย เชียงราย-ป่าแดด-จุน ใช้เวลาประมาณ
1.45 ชม. สามารถลงรถตรงหน้าวัดพอดี
2. ขึ้นรถโดยสาร สายเชียงราย-เทิง ให้ลงตรง 3 แยกเชียงเคี่ยน แล้วต่อรถโดยสาร จาก 3 แยกเชียงเคียน - ป่าแดด เลี้ยวขวาไปตามถนนหมายเลข 1126 ประมาณ 3 กม. วัดถ้ำผาจรุยจะอยู่ติดกับถนนซุปเปอร์ไฮเวย์
2. ขึ้นรถโดยสาร สายเชียงราย-เทิง ให้ลงตรง 3 แยกเชียงเคี่ยน แล้วต่อรถโดยสาร จาก 3 แยกเชียงเคียน - ป่าแดด เลี้ยวขวาไปตามถนนหมายเลข 1126 ประมาณ 3 กม. วัดถ้ำผาจรุยจะอยู่ติดกับถนนซุปเปอร์ไฮเวย์
พระธาตุจอมคีรี
พระธาตุจอมคีรี ตั้งอยู่บนยอดเขาเตี้ย ๆ ไม่มีพระสงฆ์อาศัยอยู่
มีแต่พระธาตุหรือเจดีย์องค์เดียวเท่านั้น องค์พระธาตุตั้งอยู่ในเขตตำบลป่าแดด
โดยมีทางแยกจากถนนสายใหญ่เข้าไปประมาณ 3 กิโลเศษ
และมีทางรถยนต์วิ่งเลียบไปข้าง ๆ โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม ตำบลป่าแดด อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย
ตำนานพระธาตุจอมคีรี
จากคำบอกเล่าสืบต่อกันมา
สรุปได้ความเดิมทีเดียวเป็นวัดเก่าร้าง มีเจดีย์เก่า ๆ อยู่ก่อนแล้ว
และตามตำนานบอกว่าเดิมชื่อพระธาตุจอคีรี ในสมัยอาณาจักรพะเยา
มีนามเดิมว่าเมืองภูกามยาว มีพ่อเมืองปกครองในฐานะกษัตริย์ ในครั้งนั้น
พ่อเมืองของภูกามยาวพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พญาคำแดง (พระราชโอรสของพญางำเมือง)
ซึ่งมีพระราชโอรส (บางตำนานกล่าวว่าเป็นพระอนุชา)
ทรงพระนามว่าเจ้าหลวงคำลือต่อมาได้ขึ้นครองราชต่อพระราชบิดามีพระราชอิสริยายศเป็นพญาคำลือ
คราวหนึ่งเจ้าหลวงคำลือ ได้ทรงขอพระอนุญาตพระบิดา เพื่อพาอำมาตย์เสด็จประพาสป่าเป็นเวลานาน
9 วัน
วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าหลวงคำลือทรงม้า อยู่บนเขาแห่งหนึ่ง
พระองค์ทอดพระเนตรเห็นกวางงามตัวหนึ่งสีนำตาลปนแดง
ยามแสงสุริยาต้องกับเส้นขนทำให้ดูคล้ายดั่งทอง
(เรียกกวางชนิดนี้ว่าฟานฅำหรือกวางฅำ)
พระองค์จึงรับสั่งให้พวกเสนาอำมาตย์ที่เป็นพรานไพรทั้งหลายพยายามคล้องบ่วงเชือกจับกวางนั้นมาให้ได้แต่พวกพรานทั้งหลายก็จับไม่ได้แม้แต่คนเดียวแถมมิหนำซ้ำ
กวางยังไล่ขวิดนายพรานหลายคนลอยขึ้นบนอากาศทำให้พระองค์แปลกใจมาก
เพระพรานไพรต่างเข็ดขยาดไม่กล้าเข้าไปคล้องบ่วงเชือกกวางอีก
และพระองค์แม้จะชำนาญในการคล้องเชือกเอาสัตว์นานาชนิดได้อย่างแม่นยำ
แต่คราวนี้กลับผิดพลาดไปหมด ทว่ากวางนั้นไม่กล้าขวิดพระองค์
เอาแต่วิ่งหนีอย่างเดียว พระองค์ทรงวิ่งไล่ตามกวางนั้นไปเป็นระทางไกลแสนไกล
จากเมืองภูกามยาวผ่านเวี่ยงฮ่องจ้าง(ตำบลโรงช้าง)
เวียงแซ่ลุน(ตำบลป่าแงะ)มาถึงเขาลูกหนึ่ง (ซึ่งใกล้อยู่กับเวียงลอ
และทางพะเยาเรียกเมืองที่ตั้งของดอยลูกนี้ว่าเวียงปากบ่องส่วนทางเชียงรายเรียกว่าเวียงปากน้ำ
“จากตำนานที่พญางำเมืองมอบเมืองปากน้ำให้กับพญามังราย”) จนกวางนั้นหายลับไปกับตา
ในที่สุดพระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นผู้หญิงคนหนึ่งรูปโฉมชวนพิศวงยิ่งนัก มีดวงตาประดุจตากวาง
ทำให้พระองค์พลั้งวาจาออกไปว่าพระองค์มีบุญมากที่ได้พบนางเทพธิดาเจ้าป่าอย่างนี้
นางจึงเอ่ยปากถามว่าพระองค์เป็นใครมาจากไหน
เมื่อพระองค์ทรงเล่าเรื่องให้ฟังนางได้ทราบตลอด
นางจึงบอกแก่พระองค์ว่านางมิได้เป็นเทพธิดา และไม่ทราบมาจากไหนเช่นกัน ทราบแต่เพียงว่ามีฤๅษีตนหนึ่งได้เก็บมาเลี้ยงไว้เท่านั้น
พระองค์ขอติดตามนางเข้าไปหาฤๅษี
แต่นางบอกว่าพระฤๅษีอยู่ในถ้ำไกลมากซึ่งอยู่ในทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
พระองค์ทรงทราบดีว่าเหตุการณ์ทำนองเดียวกันปรากฏต่อพระบิดา
คือพญาคำแดงมาครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งคราวนั้นพญาคำแดงได้ติดตามนางเข้าไปถึงที่อยู่ของพระฤๅษี
คือถ้ำแห่งหนึ่งปัจจุบันเรียกว่า "ถ้ำผาไฟ" ในอำเภองาว จังหวัดลำปาง
แต่ครั้งนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นกับเจ้าหลวงคำลือเอง
พระองค์จึงถามนางต่อว่ามีประสงค์ใดถึงมาที่แห่งนี้ หรือพระฤๅษีมีธุระอันใดใช้ให้มา
นางตอบว่าพระฤๅษีให้มาแสวงหาที่ปลอดสัตว์ (บริเวณที่สัตว์จะปลอดภัย)
เพื่อปลดปล่อยสัตว์ที่มนุษย์ถูกรังแกหรือหมายจะเอาชีวิตของเขาทั้งหลาย
เพราะพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จมาโปรดสัตว์ในบริเวณนี้ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล
และตรัสกับพระอานนท์และพระสารีบุตรว่าในอนาคตการณ์ บริเวณแห่งนี้จักเป็นสถานที่คงไว้ซึ่งพระศาสนา
บริเวณที่นางปรารภถึงคือบริเวณดอยคีรี ในอำเภอป่าแดด
ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากเมืองภูกามยาวไป 40 กว่ากิโลเมตร
และหลังจากนั้นนางได้กราบทูลลาเจ้าหลวงคำลือและเดินจากได้ประมาณ 7 ก้าว จึงกลายเป็นกวางทองวิ่งหายไปในป่า
เมื่อเจ้าหลวงคำลือเสด็จกลับได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับพระบิดาฟัง
และทรงปรึกษากันว่าจะกระทำประการใด พอดีขณะนั้นพระมหาอุอะเส่ง (พระสงฆ์จากพม่า)
เดินทางจากเมืองม่าน (พม่า) เข้ามาในเมืองภูกามยาว
ได้ถวายคำแนะนำแล้วอาสาจะไปเอาพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าซึ่งมีคนนำมาจากลังกาทวีปมาไว้ที่เมืองม่าน
(พม่า) โดยให้สร้างพระเจดีย์
พญาคำแดงและเจ้าหลวงคำลือได้ทรงสละพระราชทรัพย์ให้พระบัวจี๋นพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์มาตั้งวัด
แล้วก่อเจดีย์ข้างในเพื่อบรรจุพระเกศาธาตุไว้
โดยก่อนที่จะสร้างพระเจดีย์ครอบไว้พญาฅำแดงและเจ้าหลวงฅำลือให้ช่างผู้มีฝีมือ (ตระกูลช่างพะเยา)
ทำช่อฅำ 7 ช่อ
ช่อเงิน 7 ช่อ ช่อแก้ว 7 ช่อ ล้มอบรอบพระอบที่ใช้บรรจุพระเกศาธาตุที่ทำด้วยพระอุบ (พระอบ) แก้ว
แล้วครอบด้วยพระอุบฅำและพระอุบเงิน อีกชั้น
พระอุบทั้งสามล้วนประดับด้วยอัญมณีมีค่าอย่างสวยงาม
ก่อนอธิฐานจิตรให้พระอุบที่บรรจุพระเกศาธาตุจมหายไปในพื้นดิน
ต่อมามีผู้คนเลื่อมใสอพยพมาตั้งถิ่นฐานตามเชิงเขามากพอสมควรและเรียกพระองค์ธาตุว่าพระธาตุจอมคีรี
วัดพระธาตุจอมคีรีจะตั้งอยู่นานเท่าไรไม่ปรากฏ
แต่กรมศิลปกรและกรมพระพุทธศาสนาสันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุประมาณ ๗๐๐ กว่าปี
เพราะตรงกับเหตุการณ์ที่พญาฅำแดงปกครองเมืองภูกามยาวนครในยุคสมัยนั้นพอดี
ซึ่งมีคนไปพบพระเจดีย์ และสังเกตได้ว่าเป็นวัดร้าง เมื่อปี พ.ศ. 2489 และในปีถัดมา
พระครูบาเจ้าศิริปัญญา เจ้าคณะตำบลป่าแดด ในสมัยนั้น
ได้ก่อพระเจดีย์ใหม่เข้าทับตรงเจดีย์เก่าอีกครั้ง โดยตั้งชื่อว่าพระธาตุจอมคีรี
และเรียกสืบกันมาตราบถึงบัดนี้
จากคำบอกเล่าสืบต่อกันมา
สรุปได้ความเดิมทีเดียวเป็นวัดเก่าร้าง มีเจดีย์เก่า ๆ อยู่ก่อนแล้ว
และตามตำนานบอกว่าเดิมชื่อพระธาตุจอคีรี ในสมัยอาณาจักรพะเยา
มีนามเดิมว่าเมืองภูกามยาว มีพ่อเมืองปกครองในฐานะกษัตริย์ ในครั้งนั้น
พ่อเมืองของภูกามยาวพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พญาคำแดง (พระราชโอรสของพญางำเมือง)
ซึ่งมีพระราชโอรส (บางตำนานกล่าวว่าเป็นพระอนุชา)
ทรงพระนามว่าเจ้าหลวงคำลือต่อมาได้ขึ้นครองราชต่อพระราชบิดามีพระราชอิสริยายศเป็นพญาคำลือ
คราวหนึ่งเจ้าหลวงคำลือ ได้ทรงขอพระอนุญาตพระบิดา เพื่อพาอำมาตย์เสด็จประพาสป่าเป็นเวลานาน
9 วัน
วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าหลวงคำลือทรงม้า อยู่บนเขาแห่งหนึ่ง
พระองค์ทอดพระเนตรเห็นกวางงามตัวหนึ่งสีนำตาลปนแดง
ยามแสงสุริยาต้องกับเส้นขนทำให้ดูคล้ายดั่งทอง
(เรียกกวางชนิดนี้ว่าฟานฅำหรือกวางฅำ)
พระองค์จึงรับสั่งให้พวกเสนาอำมาตย์ที่เป็นพรานไพรทั้งหลายพยายามคล้องบ่วงเชือกจับกวางนั้นมาให้ได้แต่พวกพรานทั้งหลายก็จับไม่ได้แม้แต่คนเดียวแถมมิหนำซ้ำ
กวางยังไล่ขวิดนายพรานหลายคนลอยขึ้นบนอากาศทำให้พระองค์แปลกใจมาก
เพระพรานไพรต่างเข็ดขยาดไม่กล้าเข้าไปคล้องบ่วงเชือกกวางอีก
และพระองค์แม้จะชำนาญในการคล้องเชือกเอาสัตว์นานาชนิดได้อย่างแม่นยำ
แต่คราวนี้กลับผิดพลาดไปหมด ทว่ากวางนั้นไม่กล้าขวิดพระองค์
เอาแต่วิ่งหนีอย่างเดียว พระองค์ทรงวิ่งไล่ตามกวางนั้นไปเป็นระทางไกลแสนไกล
จากเมืองภูกามยาวผ่านเวี่ยงฮ่องจ้าง(ตำบลโรงช้าง)
เวียงแซ่ลุน(ตำบลป่าแงะ)มาถึงเขาลูกหนึ่ง (ซึ่งใกล้อยู่กับเวียงลอ
และทางพะเยาเรียกเมืองที่ตั้งของดอยลูกนี้ว่าเวียงปากบ่องส่วนทางเชียงรายเรียกว่าเวียงปากน้ำ
“จากตำนานที่พญางำเมืองมอบเมืองปากน้ำให้กับพญามังราย”) จนกวางนั้นหายลับไปกับตา
ในที่สุดพระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นผู้หญิงคนหนึ่งรูปโฉมชวนพิศวงยิ่งนัก มีดวงตาประดุจตากวาง
ทำให้พระองค์พลั้งวาจาออกไปว่าพระองค์มีบุญมากที่ได้พบนางเทพธิดาเจ้าป่าอย่างนี้
นางจึงเอ่ยปากถามว่าพระองค์เป็นใครมาจากไหน
เมื่อพระองค์ทรงเล่าเรื่องให้ฟังนางได้ทราบตลอด
นางจึงบอกแก่พระองค์ว่านางมิได้เป็นเทพธิดา และไม่ทราบมาจากไหนเช่นกัน ทราบแต่เพียงว่ามีฤๅษีตนหนึ่งได้เก็บมาเลี้ยงไว้เท่านั้น
พระองค์ขอติดตามนางเข้าไปหาฤๅษี
แต่นางบอกว่าพระฤๅษีอยู่ในถ้ำไกลมากซึ่งอยู่ในทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
พระองค์ทรงทราบดีว่าเหตุการณ์ทำนองเดียวกันปรากฏต่อพระบิดา
คือพญาคำแดงมาครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งคราวนั้นพญาคำแดงได้ติดตามนางเข้าไปถึงที่อยู่ของพระฤๅษี
คือถ้ำแห่งหนึ่งปัจจุบันเรียกว่า "ถ้ำผาไฟ" ในอำเภองาว จังหวัดลำปาง
แต่ครั้งนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นกับเจ้าหลวงคำลือเอง
พระองค์จึงถามนางต่อว่ามีประสงค์ใดถึงมาที่แห่งนี้ หรือพระฤๅษีมีธุระอันใดใช้ให้มา
นางตอบว่าพระฤๅษีให้มาแสวงหาที่ปลอดสัตว์ (บริเวณที่สัตว์จะปลอดภัย)
เพื่อปลดปล่อยสัตว์ที่มนุษย์ถูกรังแกหรือหมายจะเอาชีวิตของเขาทั้งหลาย
เพราะพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จมาโปรดสัตว์ในบริเวณนี้ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล
และตรัสกับพระอานนท์และพระสารีบุตรว่าในอนาคตการณ์ บริเวณแห่งนี้จักเป็นสถานที่คงไว้ซึ่งพระศาสนา
บริเวณที่นางปรารภถึงคือบริเวณดอยคีรี ในอำเภอป่าแดด
ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากเมืองภูกามยาวไป 40 กว่ากิโลเมตร
และหลังจากนั้นนางได้กราบทูลลาเจ้าหลวงคำลือและเดินจากได้ประมาณ 7 ก้าว จึงกลายเป็นกวางทองวิ่งหายไปในป่า
เมื่อเจ้าหลวงคำลือเสด็จกลับได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับพระบิดาฟัง
และทรงปรึกษากันว่าจะกระทำประการใด พอดีขณะนั้นพระมหาอุอะเส่ง (พระสงฆ์จากพม่า)
เดินทางจากเมืองม่าน (พม่า) เข้ามาในเมืองภูกามยาว
ได้ถวายคำแนะนำแล้วอาสาจะไปเอาพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าซึ่งมีคนนำมาจากลังกาทวีปมาไว้ที่เมืองม่าน
(พม่า) โดยให้สร้างพระเจดีย์
พญาคำแดงและเจ้าหลวงคำลือได้ทรงสละพระราชทรัพย์ให้พระบัวจี๋นพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์มาตั้งวัด
แล้วก่อเจดีย์ข้างในเพื่อบรรจุพระเกศาธาตุไว้
โดยก่อนที่จะสร้างพระเจดีย์ครอบไว้พญาฅำแดงและเจ้าหลวงฅำลือให้ช่างผู้มีฝีมือ (ตระกูลช่างพะเยา)
ทำช่อฅำ 7 ช่อ
ช่อเงิน 7 ช่อ ช่อแก้ว 7 ช่อ ล้มอบรอบพระอบที่ใช้บรรจุพระเกศาธาตุที่ทำด้วยพระอุบ (พระอบ) แก้ว
แล้วครอบด้วยพระอุบฅำและพระอุบเงิน อีกชั้น
พระอุบทั้งสามล้วนประดับด้วยอัญมณีมีค่าอย่างสวยงาม
ก่อนอธิฐานจิตรให้พระอุบที่บรรจุพระเกศาธาตุจมหายไปในพื้นดิน
ต่อมามีผู้คนเลื่อมใสอพยพมาตั้งถิ่นฐานตามเชิงเขามากพอสมควรและเรียกพระองค์ธาตุว่าพระธาตุจอมคีรี
วัดพระธาตุจอมคีรีจะตั้งอยู่นานเท่าไรไม่ปรากฏ
แต่กรมศิลปกรและกรมพระพุทธศาสนาสันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุประมาณ ๗๐๐ กว่าปี
เพราะตรงกับเหตุการณ์ที่พญาฅำแดงปกครองเมืองภูกามยาวนครในยุคสมัยนั้นพอดี
ซึ่งมีคนไปพบพระเจดีย์ และสังเกตได้ว่าเป็นวัดร้าง เมื่อปี พ.ศ. 2489 และในปีถัดมา
พระครูบาเจ้าศิริปัญญา เจ้าคณะตำบลป่าแดด ในสมัยนั้น
ได้ก่อพระเจดีย์ใหม่เข้าทับตรงเจดีย์เก่าอีกครั้ง โดยตั้งชื่อว่าพระธาตุจอมคีรี
และเรียกสืบกันมาตราบถึงบัดนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น