คำขวัญอำเภอป่าแดด




เพลงป่าแดดโรงช้าง



ประวัติความเป็นมาและที่ตั้ง

  อำเภอป่าแดด เป็นอำเภอหนึ่งในังหวัดเชียงราย เดิมเป็นตำบลหนึ่งในำเภอพาน    ตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 52 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งสิ้น 333.300 ตารางกิโลเมตร

  แผนที่อำเภอป่าแดด ( ที่มา :  http://www.chiangraifocus.com/2010/aumpher.php?aid=17  )
                               
ที่ตั้งเเละอาณาเขต
        -ทิศเหนือ ติดต่อกับ อำเภอพาน อำเภอเมืองเชืองราย และอำเภอเทิง
        -ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอเทิง และอำเภอจุน (จังหวัดพะเยา)
        -ทิศใต้ ติดต่ออำเภอจุน อำเภอดอกคำใต้ อำเภอภูกามยาว และอำเภอแม่ใจ (จังหวัดพะเยา)
        -ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอพาน

ประวัติ
              อำเภอป่าแดดเดิมเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอพาน ชื่อว่า ตำบลป่าแดด เป็นท้องที่ทุรกันดารและตั้งอยู่ห่าไกลจากตัวอำเภอพาน การเดินทางไปมาเพื่อติดต่อราชการกับที่ว่าการอำเภอพานแต่ละครั้งต้องเดินเท้า เนื่องจากไม่มียานพาหนะใด ๆ และด้วยระยะทางไกลทำให้ต้องมีการพักค้างแรมระหว่างการเดินทาง ส่วนสัมภาระต่าง ๆ ก็ต้องใช้คนแบกหาม และด้วยราษฎรส่วนใหญ่ไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทาง นายสง่า ไชยพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในสมัยนั้นได้รายงานต่อกระทรวงมหาดไทย ขอตั้งเป็นกิ่งอำเภอ กระทรวงมหาดไทยจึงมีประกาศเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2512 ให้ยกฐานะตำบลป่าแดดขึ้นเป็น กิ่งอำเภอป่าแดด และให้ขึ้นอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2512 และในวันที่ 2มิถุนายน ของปีเดียวกัน ได้มีการประกอบพิธีเปิดที่ว่าการกิ่งอำเภอป่าแดด
  ต่อมากิ่งอำเภอป่าแดดเป็นชุมชนที่หนาแน่นขึ้นและมีสภาพเจริญขึ้นกว่าเดิมมากม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 192 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 56 วรรค แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ลงวันที่ 2มิถุนายน พ.ศ.2515 ตราพระราชฎีกาตั้งกิ่งอำเภอป่าแดด อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย เป็น อำเภอป่าแดด ขึ้นกับจังหวัดเชียงรายเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2518ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 92 ตอนที่ 166 ลงวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2518 

ข้อมูลทั่วไป


ประชากร
ตามสถิติข้อมูลอำเภอป่าแดด สำรวจเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ดังนี้
·         ประชากรชาย 13,095 คน
·         ประชากรหญิง 13,181 คน
รวมทั้งสิ้น 26,276 คน
·         จำนวนครัวเรือนทั้งหมด 7,544 ครัวเรือน
·         จำนวนหลังคาบ้านทั้งหมด 7,544 หลังคาบ้าน
·         พื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด 123,571 ไร่
·         จำนวนครัวเรือนที่ทำเกษตร 6,737 ครัวเรือน
·         จำนวนผู้นำเกษตรกร 58 คน

ทรัพยากรธรรมชาติ
ป่าไม้
อำเภอป่าแดดมีพื้นที่ป่าไม้คิดเป็นร้อยละ 5 ของพื้นที่ มีพื้นที่ป่าไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ปืม แม่พุง ทางด้านทิศตะวันตก และป่าแม่ลอยไร่ ป่าสักลอ และป่าแม่พุงทางทิศตะวันออก

      แหล่งน้ำ

แหล่งน้ำสำคัญในอำเภอป่าแดด ประกอบด้วย
·         แม่น้ำพุง มีต้นกำเนิดในเขตอำเภอพาน ไหลผ่านตำบลป่าแงะ ตำบลป่าแดด ตำบลสันมะค่า และไหลไปบรรจบกับแม่น้ำอิงบริเวณตำบลสันมะค่า ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร
·         แม่น้ำอิง มีต้นกำเนิดในเขตอำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา ไหลผ่านอำเภอป่าแดดที่บริเวณบ้านสันบัวคำ บ้านวังผา บ้านวังศิลา ตำบลสันมะค่า และเป็นเส้นแบ่งแนวเขตการปกครองระหว่างอำเภอป่าแดดกับอำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา ทางทิศใต้
·         โครงการชลประทานขนาดเล็ก เป็นฝายกั้นลำน้ำพุง จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ ฝายร่องเปาและฝายวังเคียน นอกจากนี้ยังมีฝายประชาอาสาและฝายน้ำล้นอื่น ๆ อีกจำนวน 19 แห่ง และอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กจำนวน 2 แห่ง


      หน่วยงานราชการ
·         สำนักงานสาธารณสุขตำบล มีประจำทุกตำบล จำนวน 6 แห่ง
·         โรงพยาบาลขนาด 30 เตียง จำนวน 1 แห่ง
·         สถานีตำรวจภูธร จำนวน 1 แห่ง
·         หน่วยบริการใช้ไฟฟ้าย่อย จำนวน 1 แห่ง
·         ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขอำเภอ จำนวน 1 แห่ง
·         ธนาคารพาณิชย์ จำนวน 1 แห่ง
·         ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ สาขาป่าแดด จำนวน 1 แห่ง



      สถานศึกษา
      สถานศึกษาจำนวน 18 แห่ง
·         ระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 15 แห่ง
·         ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น-ตอนปลาย จำนวน 1 แห่ง
·         ระดับก่อนประถม (โรงเรียนเอกชน) จำนวน 1 แห่ง
·         ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (โรงเรียนพระปริยัติฯ) จำนวน 1 แห่ง



     การประกอบอาชีพและอุตสาหกรรม
ประชากรส่วนใหญ่ของอำเภอป่าแดดประกอบอาชีพทางการเกษตร อาทิ ทำนา ทำไร่ ทำสวน พืชหลักที่ทำรายได้ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ คือ ข้าว ข้าวโพด ถั่วลิสง ลำไย มะม่วง ถั่วเหลือง ขิง ลิ้นจี่ และผักต่าง ๆ ประชากรส่วนหนึ่งจะประกอบอาชีพทางการค้าขายซึ่งกำลังขยายตัวอยู่ในขณะนี้

โรงงานอุตสาหกรรมขนาดย่อม

·         โรงงานผลิตน้ำดื่ม 12 แห่ง
·         โรงสีข้าวขนาดใหญ่ 3 แห่ง
·         โรงสีข้าวขนาดเล็ก 63 แห่ง
·         โรงบ่มใบยาสูบ - แห่ง
·         โรงงานผลิตซีเมนต์บล็อก 4 แห่ง
·         โรงโม่หิน 1 แห่ง





สถานที่ท่องเที่ยว



ถ้ำผาจรุย



ถ้ำผาจรุย อำเภอป่าแดด เป็นเมืองเกษตรกรรม มีความเป็นธรรมชาติและมีวิถีวัฒนธรรมแบบสังคมเกษตร ผู้คนมีจิตใจโอบอ้อมอารี แม้อำเภอป่าแดดจะมีสถานที่ท่องเที่ยวไม่มากนัก แต่ทว่า สถานที่ท่องเที่ยวที่มีอยู่น้อยแห่งนั้นก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้สนใจเดินทางมาเที่ยวที่อำเภอนี้ได้ไม่ยากนัก เช่นเดียวกันกับที่ถ้ำผาจรุย แหล่งท่องเที่ยวของอำเภอป่าแดดที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของอำเภอป่าแดดที่ อยากแนะนำและเชิญชวนให้ท่านได้แวะเวียนเข้ามาเที่ยวชมความงดงามของถ้ำและนมัสการกราบไหว้พระพุทธรูปอันศักดิ์ ณ ถ้ำแห่งนี้
ถ้ำผาจรุยนั้นเป็นถ้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์สวยงาม ทั้งยังมีพระพุทธรูปประดิษฐานในบริเวณถ้ำ เนื้อที่บริเวณวัดถ้ำผาจรุยนั้นมีพื้นที่ประมาณ 60 ไร่ ลักษณะของถ้ำผาจรุยนั้นมีลักษณะเป็นภูเขาตั้งโดดเด่นแยกตัวออกมาจากภูเขาลูกอื่น ซึ่งภายในประกอบด้วยภูเขาเล็กๆ สลับซับซ้อนอย่างลงตัวและสวยงาม นอกจากนั้นยังมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยกระจัดกระจายอยู่โดยทั่วไป นอกจากที่ถ้ำผาจรุยยังมีถ้ำขนาดใหญ่ ที่มีความลึกประมาณ 118 เมตร ส่วนด้านรอบๆถ้ำจะมีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ขึ้นอยู่โดยรอบๆถ้ำ ส่วนด้านล่างของถ้ำจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางค์สมาธิ ซึ่งเป็นที่เคารพของคนทั่วไป ทั้งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังที่แห่งนี้ก็มักจะมา นมัสการพระพุทธรูป และมานั่งวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งวัดแห่งนี้อยู่ในนิกายธรรมยุต ด้านบรรยากาศโดยทั่วไปของถ้ำผาจรุยนั้นเป็นถ้ำที่มีความสวยงามยิ่งนัก บริเวณภายนอกถ้ำเป็นสถานที่ที่มีความสะอาด สงบ ร่มรื่นไปด้วยมวลไม้ดอกไม้ประดับและต้นไม้ ในทุกๆ วัน มักจะมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในระแวกใกล้เคียงรวมไปถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เดินทางเข้ามาเที่ยวยังวัดถ้ำผาจรุยกันอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวที่ถ้ำผาจรุยกันอย่างคับคั่ง นักท่องเที่ยวท่านใดอยากเข้ามาเที่ยวอำเภอป่าแดด ไม่รู้ว่ามีสถานที่น่าสนใจแห่งใดบ้าง ขอแนะนำถ้ำผาจรุย ที่อ.ป่าแดดแห่งนี้ แล้วท่านจะติดใจกับความงดงามทางธรรมชาติของถ้ำแห่งนี้เป็นแน่


การเดินทาง วัดถ้ำผาจรุยอยู่ห่างจากเชียงราย ประมาณ 43 กม. อยู่ติดกับถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ 
1. ขึ้นรถโดยสาร สาย เชียงราย-ป่าแดด-จุน ใช้เวลาประมาณ 1.45 ชม. สามารถลงรถตรงหน้าวัดพอดี 
2. ขึ้นรถโดยสาร สายเชียงราย-เทิง ให้ลงตรง 3 แยกเชียงเคี่ยน แล้วต่อรถโดยสาร จาก 3 แยกเชียงเคียน - ป่าแดด เลี้ยวขวาไปตามถนนหมายเลข 1126 ประมาณ 3 กม. วัดถ้ำผาจรุยจะอยู่ติดกับถนนซุปเปอร์ไฮเวย์

พระธาตุจอมคีรี

พระธาตุจอมคีรี ตั้งอยู่บนยอดเขาเตี้ย ๆ ไม่มีพระสงฆ์อาศัยอยู่ มีแต่พระธาตุหรือเจดีย์องค์เดียวเท่านั้น องค์พระธาตุตั้งอยู่ในเขตตำบลป่าแดด โดยมีทางแยกจากถนนสายใหญ่เข้าไปประมาณ 3 กิโลเศษ และมีทางรถยนต์วิ่งเลียบไปข้าง ๆ โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม ตำบลป่าแดด อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย

ตำนานพระธาตุจอมคีรี

จากคำบอกเล่าสืบต่อกันมา สรุปได้ความเดิมทีเดียวเป็นวัดเก่าร้าง มีเจดีย์เก่า ๆ อยู่ก่อนแล้ว และตามตำนานบอกว่าเดิมชื่อพระธาตุจอคีรี ในสมัยอาณาจักรพะเยา มีนามเดิมว่าเมืองภูกามยาว มีพ่อเมืองปกครองในฐานะกษัตริย์ ในครั้งนั้น พ่อเมืองของภูกามยาวพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พญาคำแดง (พระราชโอรสของพญางำเมือง) ซึ่งมีพระราชโอรส (บางตำนานกล่าวว่าเป็นพระอนุชา) ทรงพระนามว่าเจ้าหลวงคำลือต่อมาได้ขึ้นครองราชต่อพระราชบิดามีพระราชอิสริยายศเป็นพญาคำลือ คราวหนึ่งเจ้าหลวงคำลือ ได้ทรงขอพระอนุญาตพระบิดา เพื่อพาอำมาตย์เสด็จประพาสป่าเป็นเวลานาน 9 วัน
วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าหลวงคำลือทรงม้า อยู่บนเขาแห่งหนึ่ง พระองค์ทอดพระเนตรเห็นกวางงามตัวหนึ่งสีนำตาลปนแดง ยามแสงสุริยาต้องกับเส้นขนทำให้ดูคล้ายดั่งทอง (เรียกกวางชนิดนี้ว่าฟานฅำหรือกวางฅำ) พระองค์จึงรับสั่งให้พวกเสนาอำมาตย์ที่เป็นพรานไพรทั้งหลายพยายามคล้องบ่วงเชือกจับกวางนั้นมาให้ได้แต่พวกพรานทั้งหลายก็จับไม่ได้แม้แต่คนเดียวแถมมิหนำซ้ำ กวางยังไล่ขวิดนายพรานหลายคนลอยขึ้นบนอากาศทำให้พระองค์แปลกใจมาก เพระพรานไพรต่างเข็ดขยาดไม่กล้าเข้าไปคล้องบ่วงเชือกกวางอีก และพระองค์แม้จะชำนาญในการคล้องเชือกเอาสัตว์นานาชนิดได้อย่างแม่นยำ แต่คราวนี้กลับผิดพลาดไปหมด ทว่ากวางนั้นไม่กล้าขวิดพระองค์ เอาแต่วิ่งหนีอย่างเดียว พระองค์ทรงวิ่งไล่ตามกวางนั้นไปเป็นระทางไกลแสนไกล จากเมืองภูกามยาวผ่านเวี่ยงฮ่องจ้าง(ตำบลโรงช้าง) เวียงแซ่ลุน(ตำบลป่าแงะ)มาถึงเขาลูกหนึ่ง (ซึ่งใกล้อยู่กับเวียงลอ และทางพะเยาเรียกเมืองที่ตั้งของดอยลูกนี้ว่าเวียงปากบ่องส่วนทางเชียงรายเรียกว่าเวียงปากน้ำ “จากตำนานที่พญางำเมืองมอบเมืองปากน้ำให้กับพญามังราย”) จนกวางนั้นหายลับไปกับตา ในที่สุดพระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นผู้หญิงคนหนึ่งรูปโฉมชวนพิศวงยิ่งนัก มีดวงตาประดุจตากวาง ทำให้พระองค์พลั้งวาจาออกไปว่าพระองค์มีบุญมากที่ได้พบนางเทพธิดาเจ้าป่าอย่างนี้ นางจึงเอ่ยปากถามว่าพระองค์เป็นใครมาจากไหน เมื่อพระองค์ทรงเล่าเรื่องให้ฟังนางได้ทราบตลอด นางจึงบอกแก่พระองค์ว่านางมิได้เป็นเทพธิดา และไม่ทราบมาจากไหนเช่นกัน ทราบแต่เพียงว่ามีฤๅษีตนหนึ่งได้เก็บมาเลี้ยงไว้เท่านั้น พระองค์ขอติดตามนางเข้าไปหาฤๅษี แต่นางบอกว่าพระฤๅษีอยู่ในถ้ำไกลมากซึ่งอยู่ในทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ พระองค์ทรงทราบดีว่าเหตุการณ์ทำนองเดียวกันปรากฏต่อพระบิดา คือพญาคำแดงมาครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งคราวนั้นพญาคำแดงได้ติดตามนางเข้าไปถึงที่อยู่ของพระฤๅษี คือถ้ำแห่งหนึ่งปัจจุบันเรียกว่า "ถ้ำผาไฟ" ในอำเภองาว จังหวัดลำปาง แต่ครั้งนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นกับเจ้าหลวงคำลือเอง พระองค์จึงถามนางต่อว่ามีประสงค์ใดถึงมาที่แห่งนี้ หรือพระฤๅษีมีธุระอันใดใช้ให้มา นางตอบว่าพระฤๅษีให้มาแสวงหาที่ปลอดสัตว์ (บริเวณที่สัตว์จะปลอดภัย) เพื่อปลดปล่อยสัตว์ที่มนุษย์ถูกรังแกหรือหมายจะเอาชีวิตของเขาทั้งหลาย เพราะพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จมาโปรดสัตว์ในบริเวณนี้ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล และตรัสกับพระอานนท์และพระสารีบุตรว่าในอนาคตการณ์ บริเวณแห่งนี้จักเป็นสถานที่คงไว้ซึ่งพระศาสนา บริเวณที่นางปรารภถึงคือบริเวณดอยคีรี ในอำเภอป่าแดด ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากเมืองภูกามยาวไป 40 กว่ากิโลเมตร และหลังจากนั้นนางได้กราบทูลลาเจ้าหลวงคำลือและเดินจากได้ประมาณ 7 ก้าว จึงกลายเป็นกวางทองวิ่งหายไปในป่า

เมื่อเจ้าหลวงคำลือเสด็จกลับได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับพระบิดาฟัง และทรงปรึกษากันว่าจะกระทำประการใด พอดีขณะนั้นพระมหาอุอะเส่ง (พระสงฆ์จากพม่า) เดินทางจากเมืองม่าน (พม่า) เข้ามาในเมืองภูกามยาว ได้ถวายคำแนะนำแล้วอาสาจะไปเอาพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าซึ่งมีคนนำมาจากลังกาทวีปมาไว้ที่เมืองม่าน (พม่า) โดยให้สร้างพระเจดีย์ พญาคำแดงและเจ้าหลวงคำลือได้ทรงสละพระราชทรัพย์ให้พระบัวจี๋นพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์มาตั้งวัด แล้วก่อเจดีย์ข้างในเพื่อบรรจุพระเกศาธาตุไว้ โดยก่อนที่จะสร้างพระเจดีย์ครอบไว้พญาฅำแดงและเจ้าหลวงฅำลือให้ช่างผู้มีฝีมือ (ตระกูลช่างพะเยา) ทำช่อฅำ 7 ช่อ ช่อเงิน 7 ช่อ ช่อแก้ว 7 ช่อ ล้มอบรอบพระอบที่ใช้บรรจุพระเกศาธาตุที่ทำด้วยพระอุบ (พระอบ) แก้ว แล้วครอบด้วยพระอุบฅำและพระอุบเงิน อีกชั้น พระอุบทั้งสามล้วนประดับด้วยอัญมณีมีค่าอย่างสวยงาม ก่อนอธิฐานจิตรให้พระอุบที่บรรจุพระเกศาธาตุจมหายไปในพื้นดิน ต่อมามีผู้คนเลื่อมใสอพยพมาตั้งถิ่นฐานตามเชิงเขามากพอสมควรและเรียกพระองค์ธาตุว่าพระธาตุจอมคีรี วัดพระธาตุจอมคีรีจะตั้งอยู่นานเท่าไรไม่ปรากฏ แต่กรมศิลปกรและกรมพระพุทธศาสนาสันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุประมาณ ๗๐๐ กว่าปี เพราะตรงกับเหตุการณ์ที่พญาฅำแดงปกครองเมืองภูกามยาวนครในยุคสมัยนั้นพอดี ซึ่งมีคนไปพบพระเจดีย์ และสังเกตได้ว่าเป็นวัดร้าง เมื่อปี พ.ศ. 2489 และในปีถัดมา พระครูบาเจ้าศิริปัญญา เจ้าคณะตำบลป่าแดด ในสมัยนั้น ได้ก่อพระเจดีย์ใหม่เข้าทับตรงเจดีย์เก่าอีกครั้ง โดยตั้งชื่อว่าพระธาตุจอมคีรี และเรียกสืบกันมาตราบถึงบัดนี้